Disable Right Click on Website Using JavaScript

เกร็ดความคิด

ทำอย่างไรให้เด็ก ๆ ฟังและให้ความร่วมมือ

หมอพลอย แนะนำ เคล็ดลับ 7 ข้อ ที่ช่วยให้เด็ก ๆ ตั้งใจฟังและทำตามคำสั่งโดยไม่ต้องใช้การดุหรือลงโทษ แต่ใช้วิธีที่อ่อนโยนและมีประสิทธิภาพ เช่น:

✅ หันหน้าเข้าหากันและมองตาเด็กขณะพูด เพื่อให้แน่ใจว่าเด็กมีสมาธิและรับรู้ถึงความตั้งใจของเรา
✅ อยู่ใกล้ชิดเพื่อให้การสื่อสารมีประสิทธิภาพ
✅ สัมผัสตัวเด็กเพื่อสร้างความรู้สึกเชื่อมโยง เช่น จับมือหรือแตะหลัง เพื่อให้เด็กรู้สึกสงบและพร้อมฟัง
✅ พูดด้วยน้ำเสียงที่ใจเย็นและมั่นใจ หลีกเลี่ยงการพูดด้วยความลังเลหรือใช้อารมณ์
✅ ใช้คำพูดที่เข้าใจง่ายและชัดเจน ไม่อธิบายเยิ่นเย้อ
เป็นต้น

Facebook Link หมอพลอย ลูกอัจฉริยะสร้างได้ :7 ขั้นตอนลับ ที่จะทำให้เด็กๆ ทำตาม และสนใจสิ่งที่เราสอนแบบทันที❗



การทำตามขั้นตอนเดิมทุกวันช่วยให้เด็ก ๆเรียนรู้และปรับตัวในการทำสิ่งที่ควรจะต้องทำ

การใช้วิธีที่อบอุ่นและแน่วแน่ช่วยให้เด็กมีสมาธิ ให้ความร่วมมือมากขึ้น และค่อย ๆ ซึมซับวินัยโดยไม่ต้องใช้ความรุนแรง เรามาขยายความแนวคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “การสอนโดยหันหน้าเข้าหากันและมองตาเด็ก” เพิ่มเติมกันครับ

💡 การสอนโดยหันหน้าเข้าหากันและมองตาเด็ก: วิธีง่าย ๆ แต่ได้ผล

🧠 ทำไมการสบตาและพูดกับเด็กอย่างใกล้ชิดจึงสำคัญ?

ในด้านจิตวิทยาเด็ก การสบตาเป็นสัญญาณของการเชื่อมโยงทางอารมณ์ งานวิจัยของ Dr. Ross A. Thompson (University of California, Davis) พบว่า การสบตาและใช้ภาษากายขณะพูดกับเด็กช่วยให้สมองของเด็กพัฒนาในด้านความเข้าใจและการมีสมาธิ เด็กเล็กมักมีช่วงความสนใจที่สั้น หากเราพูดขณะที่พวกเขากำลังเล่นหรือสนใจสิ่งอื่น เด็กอาจไม่ได้ยินหรือให้ความสำคัญกับสิ่งที่เราสื่อสาร ดังนั้น การหันหน้าเข้าหากันและมองตาจะช่วยให้เด็กจดจ่อและเปิดใจรับฟังมากขึ้น


📌 ทำอย่างไรให้ได้ผล?

✅ ลดระดับสายตาให้เท่ากับเด็ก – นั่งลงหรือย่อตัวให้อยู่ในระดับเดียวกับเด็ก
✅ สบตาอย่างอ่อนโยน – การสบตาสร้างการเชื่อมโยงทางอารมณ์
✅ ใช้ภาษากายเพื่อเสริมความเข้าใจ – เช่น พยักหน้า ยิ้ม หรือแตะไหล่
✅ เว้นจังหวะให้เด็กตอบสนอง – หลังจากพูด ให้เวลาสักครู่ให้เด็กได้คิด

🔹 ตัวอย่างสถานการณ์: การสอนคณิตศาสตร์ให้เด็ก

📌 สถานการณ์ 1: เด็กไม่สนใจเวลาสอนเลข

วิธีที่ไม่แนะนำ: พ่อแม่พูดขณะที่เด็กกำลังเล่นของเล่นหรือดูโทรทัศน์ "มานั่งทำโจทย์เลขเดี๋ยวนี้!" → เด็กอาจไม่สนใจหรือรู้สึกว่าถูกบังคับ
วิธีที่แนะนำ: นั่งลงข้าง ๆ แตะไหล่เบา ๆ แล้วพูด "ลูกจ๋า มามองตาแม่ก่อนนะคะ แม่มีเกมสนุก ๆ มาเล่นด้วยกัน" จากนั้นใช้เกมตัวเลข เช่น ลูกเต๋า บล็อกตัวเลข หรือของใช้ในบ้าน มาเป็นตัวช่วยในการสอน

📌 สถานการณ์ 2: เด็กหงุดหงิดเพราะแก้โจทย์ไม่ได้

วิธีที่ไม่แนะนำ: "ทำไมคิดไม่ออกล่ะ? ง่ายแค่นี้เอง!" คำพูดในลักษณะนี้จะทำให้เด็กยิ่งเครียดและรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง
วิธีที่แนะนำ:พ่อแม่มองตาลูก ยิ้มอย่างอ่อนโยน และพูดว่า "ไม่เป็นไรนะลูก ลองคิดใหม่อีกที แม่เชื่อว่าหนูทำได้" แล้วค่อย ๆ ช่วยแนะนำโดยไม่กดดัน"

📌 สถานการณ์ 3: เด็กไม่มีสมาธิเวลาทำการบ้าน

วิธีที่ไม่แนะนำ: ให้เด็กทำการบ้านขณะมีสิ่งรบกวน เช่น เปิดทีวีอยู่ หรือมีเสียงดังรอบตัว → เด็กอาจไม่มีสมาธิ
วิธีที่แนะนำ:พ่อแม่นั่งลงข้าง ๆ มองตาเด็ก พูดว่า "ลูกจ๋า มามองแม่ก่อนนะคะ เดี๋ยวเราจะมีเวลา 15 นาที ทำเลขไปด้วยกัน แล้วแม่จะช่วยดูนะ" จากนั้นสร้างบรรยากาศการเรียนที่สงบ เช่น มีโต๊ะเรียนที่เป็นระเบียบ ไม่มีสิ่งรบกวน

🔬 งานวิจัยด้านจิตวิทยาที่สนับสนุนวิธีนี้

✅ งานวิจัยของ Dr. Ross A. Thompson (University of California, Davis) พบว่า การสบตาและใช้ภาษากายช่วยให้เด็กเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่พูดได้ดีขึ้น และเพิ่มสมาธิในการเรียนรู้

Dr. Ross A. Thompson นักจิตวิทยาพัฒนาการที่มีชื่อเสียงจาก University of California, Davis ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก และผลกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์และการเรียนรู้ของเด็ก งานวิจัยของเขาเน้นไปที่วิธีที่เด็กเล็กพัฒนาความเข้าใจทางอารมณ์ การควบคุมอารมณ์ และการรับรู้ตนเองผ่านปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่ โดยเฉพาะในช่วงวัยเริ่มต้นของชีวิต

เกี่ยวกับประเด็นที่คุณกล่าวถึง—การสบตาและการใช้ภาษากาย—งานวิจัยของ Dr. Thompson ชี้ให้เห็นว่าปฏิสัมพันธ์ที่ไวต่อความรู้สึก (sensitive interaction) เช่น การสบตาและการใช้ท่าทางที่สอดคล้องกับคำพูดของพ่อแม่ ช่วยเพิ่มความสามารถของเด็กในการเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่สื่อสารได้ดีขึ้น การสบตาเป็นสัญญาณทางสังคมที่สำคัญที่ช่วยให้เด็กเชื่อมโยงคำพูดกับความหมาย และสร้างความรู้สึกปลอดภัยทางอารมณ์ ซึ่งเป็นพื้นฐานของสมาธิและการเรียนรู้ นอกจากนี้ ภาษากายที่ชัดเจนและเหมาะสมยังช่วยเสริมสร้างบริบทให้เด็กเข้าใจเนื้อหาที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในช่วงวัยที่การเข้าใจภาษายังอยู่ในขั้นพัฒนา

ในงานของเขา เช่น การศึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาความเข้าใจทางอารมณ์ (emotion understanding) และการสนทนาระหว่างพ่อแม่และลูก Dr. Thompson พบว่าการสื่อสารที่ไม่ใช่แค่คำพูด เช่น การมองหน้า การสัมผัส หรือท่าทาง สามารถกระตุ้นให้เด็กมีส่วนร่วมและจดจ่อกับสิ่งที่กำลังเรียนรู้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น เมื่อพ่อแม่ใช้การสบตาและชี้ไปที่วัตถุขณะตั้งชื่อ เด็กจะเชื่อมโยงคำศัพท์กับสิ่งที่เห็นได้เร็วขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อการพัฒนาทักษะทางภาษาและสมาธิ

✅ งานวิจัยของ Dr. Andrew Meltzoff (University of Washington) ระบุว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อพวกเขารู้สึกว่าได้รับความสนใจจากพ่อแม่ การพูดคุยแบบหันหน้าเข้าหากันและสบตาทำให้สมองเด็กเปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

Dr. Andrew Meltzoff นักจิตวิทยาจาก University of Washington และผู้อำนวยการร่วมของ Institute for Learning & Brain Sciences (I-LABS) เป็นนักวิจัยที่มีชื่อเสียงในด้านพัฒนาการเด็กและการเรียนรู้ในช่วงวัยเริ่มต้น งานวิจัยของเขาเน้นไปที่การทำความเข้าใจว่าเด็กเรียนรู้อย่างไรผ่านปฏิสัมพันธ์ทางสังคม โดยเฉพาะกับพ่อแม่หรือผู้ดูแล

จากงานวิจัยของ Dr. Meltzoff พบว่าเด็กเรียนรู้ได้ดีที่สุดเมื่อรู้สึกว่าได้รับความสนใจจากพ่อแม่ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าเด็กทารกและเด็กวัยหัดเดินไวต่อสัญญาณทางสังคม (social cues) เช่น การสบตาและการพูดคุยแบบหันหน้าเข้าหากัน การสบตาไม่เพียงแต่ช่วยสร้างความผูกพันทางอารมณ์ แต่ยังกระตุ้นสมองของเด็กให้เปิดรับข้อมูลใหม่ ๆ ได้ดีขึ้น งานวิจัยของเขาแสดงให้เห็นว่าการมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัว (face-to-face interaction) มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาทางปัญญาและการเรียนรู้ โดยเฉพาะในช่วงวัยทารกและวัยหัดเดิน

หนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของ Dr. Meltzoff คือการศึกษาการเลียนแบบ (imitation) ในทารก ซึ่งเผยให้เห็นว่าแม้แต่ทารกแรกเกิดก็สามารถเลียนแบบการแสดงออกทางใบหน้า เช่น การยื่นลิ้นหรือการขยับปาก เมื่อพ่อแม่ให้ความสนใจและตอบสนองด้วยการสบตาหรือเลียนแบบกลับ การกระทำเหล่านี้ช่วยกระตุ้นระบบประสาทของเด็ก โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการรับรู้และการประมวลผลข้อมูล เขาอธิบายว่า การพูดคุยแบบหันหน้าเข้าหากันสร้าง "การเชื่อมต่อทางสมอง" (neural synchrony) ระหว่างพ่อแม่และลูก ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้สมองเด็กพร้อมเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ

นอกจากนี้ Dr. Meltzoff ยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของความรู้สึก "ถูกมองเห็น" (being attended to) ของเด็ก เมื่อพ่อแม่ให้ความสนใจอย่างเต็มที่ เช่น การมองตา การยิ้ม หรือการตอบสนองต่อเสียงของเด็ก เด็กจะรู้สึกปลอดภัยและมีส่วนร่วมมากขึ้น ซึ่งเป็นพื้นฐานที่ทำให้สมองของเด็กเปิดกว้างต่อการรับข้อมูล เช่น การเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ การเข้าใจอารมณ์ หรือการพัฒนาทักษะทางสังคม งานวิจัยของเขาได้ใช้เทคโนโลยี เช่น การสแกนสมองด้วยเครื่องมือ MEG (magnetoencephalography) เพื่อแสดงให้เห็นว่าปฏิสัมพันธ์เหล่านี้ส่งผลต่อการทำงานของสมองเด็กอย่างไร

ตัวอย่างงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น การทดลองที่เขาและทีมงานพบว่าเด็กทารกที่ได้รับการตอบสนองจากพ่อแม่ด้วยการสบตาและการพูดคุยมีแนวโน้มที่จะจดจำและเรียนรู้ได้ดีกว่าเด็กที่ไม่ได้รับปฏิสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าการมีส่วนร่วมของพ่อแม่ไม่ใช่แค่การสอนโดยตรง แต่เป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ผ่านความสัมพันธ์

ข้อมูลเหล่านี้สอดคล้องกับสิ่งที่ Dr. Meltzoff ได้เผยแพร่ในบทความวิชาการและการสัมภาษณ์ เช่น ในงานของเขาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Developmental Psychology และการบรรยายที่ I-LABS ซึ่งเน้นย้ำว่า "เด็กเรียนรู้จากเราในฐานะมนุษย์ ไม่ใช่แค่จากสิ่งของหรือหน้าจอ"

📌 สรุป: เทคนิคง่าย ๆ ที่เปลี่ยนพฤติกรรมเด็กได้

🔹 ลดระดับสายตาให้เท่ากับเด็ก
🔹 สบตาและใช้ภาษากาย เช่น แตะไหล่เบา ๆ เพื่อให้เด็กมีสมาธิ
🔹 ใช้น้ำเสียงที่อบอุ่นและให้กำลังใจ แทนการกดดัน
🔹 ทำให้การเรียนรู้เป็นเรื่องสนุก เช่น ใช้ของเล่นหรือเกมช่วยสอน
🔹 สร้างบรรยากาศที่สงบและไม่มีสิ่งรบกวน

การนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ไม่เพียงช่วยให้เด็กทำตามคำสั่ง แต่ยังทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย เชื่อมั่นในตัวเอง และพัฒนาทักษะการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ คณิตศาสตร์ก็จะไม่ใช่เรื่องยากหรือน่าเบื่ออีกต่อไป! 😊📚✨

image description กลับสู่หน้าหลัก
loader